ข่าวประชาสัมพันธ์

05.02.2024

อีอีซี MOU ส.อ.ท. เพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการพื้นที่อีอีซี

ขยายโอกาสลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมายจากทั่วโลก


 

          (วันที่ 5 ก.พ. 2567) ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(สกพอ.) หรืออีอีซี และนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมกันลงนาม บันทึกข้อตกลง (MOU) การพัฒนาสภาพแวดล้อมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมเป้าหมายในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ระหว่าง สกพอ. และ ส.อ.ท. โดยมีนางจันทวรรณ สุจริตกุล ผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้านระบบเงิน สกพอ. และนายวิบูลย์ รักสาสน์เจริญผล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นพยาน เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการในพื้นที่อีอีซี ให้มีศักยภาพ พัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือบริการที่ตอบโจทย์ และสามารถยกระดับห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่อีอีซี ให้มีความเป็นสากล อีกทั้งร่วมเป็นพันธมิตรในการขับเคลื่อนโครงการที่มีความสำคัญต่อการสร้างระบบนิเวศรองรับการลงทุน ให้พื้นที่อีอีซี


          ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการ อีอีซี กล่าวว่า ความร่วมมือตาม MOU ครั้งนี้ อีอีซี และ ส.อ.ท. จะร่วมดำเนินการใน 3 กิจกรรมหลัก ได้แก่ 1) ผลักดันผู้ประกอบการในอีอีซี ให้เข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการของผู้ประกอบการ SMEs หรือ Start-Up ที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจ และต่อยอดธุรกิจในอนาคต และร่วมจัดกิจกรรมที่มีความเกี่ยวเนื่องกับส่งเสริมการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ (Business Network) 2) ร่วมกันผลักดันให้ผู้ประกอบการใน Supply Chain ของอุตสาหกรรมเป้าหมาย และผู้ประกอบการ Start-Up ให้สามารถรับเงินทุนสนับสนุนผ่านกองทุนอินโนเวชั่นวัน (Innovation One) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาธุรกิจนวัตรกรรมสตาร์ทอัพไทย และต่อยอดผลิตภัณฑ์และบริการที่สามารถตอบโจทย์ภาคธุรกิจได้อย่างแท้จริง และ 3) ร่วมกันขับเคลื่อนโครงการทั้ง Project-Based และ Flagship Projects ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาและเพิ่มศักยภาพของพื้นที่อีอีซี พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนที่มีศักยภาพ
          “ความร่วมมือดังกล่าว จะเป็นกลไกที่สำคัญ เสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับ ผู้ประกอบการในพื้นที่อีอีซี ตั้งแต่ผู้ประกอบการรายใหม่ (Start-Up) ตลอดจนผู้ประกอบการขนาดใหญ่ ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุน พัฒนาและต่อยอดนวัตกรรมและบริการให้ตรงกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ เสริมสร้างความพร้อมของห่วงโซ่การผลิต (Production Chain) และห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) พร้อมยกระดับให้มีความเป็นมาตรฐานและมีความเป็นสากล ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญในการชักชวนให้เกิดการลงทุนในพื้นที่อีอีซี” ดร.จุฬา กล่าว

          ด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า “ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่ EEC ซึ่งถือเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ด้านการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve และ New S-Curve ที่สำคัญของประเทศไทย โดยในปี 2566 มีมูลค่าการลงทุนกว่า 38,613 ล้านบาท และมีสมาชิก ส.อ.ท. ที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าวจำนวน 1,209 ราย ครอบคลุม 3 จังหวัดที่สำคัญของประเทศไทย ได้แก่ ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา จึงเห็นว่าความร่วมมือระหว่าง ส.อ.ท. และ EEC จึงเป็นแนวทางที่สำคัญ โดย ส.อ.ท. พร้อมจะสนับสนุนในด้านข้อมูลผลิตภัณฑ์และบริการของเครือข่ายสมาชิกสภาอุตสาหกรรมฯ ที่ประกอบด้วย 46 กลุ่มอุตสาหกรรมและ 11 คลัสเตอร์ ครอบคลุม 76 จังหวัด ให้แก่ผู้ประกอบการในเขตพัฒนาพิเศษฯ เพื่อก่อให้เกิดการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ (Business Network) และยกระดับภาคอุตสาหกรรมจาก First Industries สู่ Next-Gen Industries ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย ONE FTI อีกทั้งในปัจจุบัน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้มีการจัดตั้งโครงการ “กองทุนอินโนเวชั่นวัน” ขึ้น ซึ่งโครงการดังกล่าว จะเข้ามาช่วยสนับสนุนเงินทุนแก่ผู้ประกอบการ ที่มีศักยภาพ และความพร้อมที่จะนำเทคโนโลยีนวัตกรรมเข้ามาช่วยยกระดับผลิตภัณฑ์ และบริการในภาคอุตสาหกรรม

          “สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มีความยินดีที่ได้จับมือทำงานร่วมกับอีอีซี ในฐานะที่เป็นผู้ส่งเสริมผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งสมาชิกของ ส.อ.ท. ที่อยู่ในพื้นที่ดังกล่าว จะสามารถเข้าถึงเครือข่ายความร่วมมือทางธุรกิจ และแหล่งเงินทุน รวมถึงการสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางธุรกิจซึ่งจะทำให้การดำเนินธุรกิจในเขตพัฒนาพิเศษฯ เติบโตและก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น” นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานส.อ.ท. กล่าว

ดาวน์โหลดวีดีโอ

ข่าว ล่าสุด

เมนู
TH